18 – 19 กรกฏาคม 2015 : ไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน แค่เสาร์-อาทิตย์ก็ไปได้นะ
ทริปนี้เราจะไปเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฏร์ธานี หรือ เขื่อนเชี่ยวหลานนั่นเอง
โดยแผนการของเรา คือ เริ่มจากนั่งรถไฟที่หัวลำโพงตอนช่วงดึกของวันศุกร์
และไปถึง จ.สุราษฎร์ธานีในเช้าวันเสาร์ ค่าตั๋วรถไฟอยู่ที่ 608 บาท
เป็นที่นั่งแบบปรับเอนได้ในตู้ปรับอากาศ ไม่ต่างจากนั่งรถทัวร์มากนัก
มีเจ้าหน้าที่คอยบริการน้ำเปล่า ชา กาแฟ กับขนมพายไส้สับปะรดอีกหนึ่งห่อ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่มีป้าขายไก่ทอด หรือลุงถั่วต้มที่คอยมาเร่ขายของบนรถไฟ
กิจกรรมอย่างเดียวที่ควรทำ ก็คือ … นอน !!
ผ่านไปประมาณ 8 ชั่วโมง รุ่งเช้าของวันเสาร์ เราก็มาถึงสถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี
บนรถไฟก็หลับสบายดีนะ เขย่านิดๆ เหมือนนอนบนเปลไกว แต่แอบปวดหลัง : )
ถึงสถานีสุราษฏร์ ก็มีฝรั่งแบกเป้มาเที่ยวกันเยอะพอสมควรเลย
เราว่าสิ่งนึงที่ทำให้ประเทศเราน่าเที่ยวก็คือ ความไม่สมบูรณ์แบบของบ้านเมืองนี่แหละ
เช่น รถไฟไทยที่ไม่ค่อยตรงเวลามากนัก ทำให้เราไม่ต้องไปซีเรียสกับเวลา (ปลงซะเถอะ)
การข้ามถนนที่แม้จะมีไฟเขียวคนข้ามขึ้นแล้วก็ต้องดูซ้าย-ขวาตลอดเวลา คือ มีเรื่องให้ตื่นเต้นตลอดเวลา ประกอบกับนิสัยใจคอของคนต่างจังหวัดที่คอยให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นกันเอง
นี่คือสิ่งที่หาไม่ได้ในประเทศที่มีพร้อมทุกอย่าง …
ระหว่างนี้ เราก็หาห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน รอเพื่อนเอารถมารับ สบายๆสุดๆ
เมืองสุราษฎร์ธานี …
อันที่จริงก็คล้ายๆกับตัวเมืองของจังหวัดอื่นๆในประเทศไทย ขณะที่ในบางประเทศที่สถาปัตยกรรมและแลนด์มาร์คของเมืองถูกจัดระเบียบไว้อย่างสวยงาม เวลาใครไปเที่ยวหรือแชร์รูปให้ดู ก็จะรู้ว่าเมืองนี้นะ ไม่มีเมืองไหนซ้ำ แต่อย่างที่บอกครับ ความคลาสสิคแบบไทยๆก็ยังไม่มีที่ไหนเทียบได้ ^^
โดยเฉพาะคุณสุนัขข้างทางที่คอยตอนรับเราอย่างกับเพื่อนสนิท นี่คงหาที่ไหนไม่ได้แล้ว !!
ก่อนออกเดินทางก็ขอไปสักการะศาลหลักเมืองสุราษฎร์กันสักหน่อย.
ขอให้เที่ยวสนุก เดินทางปลอดภัย ท้องฟ้าสดใส ได้รูปถ่ายสวยๆ เย้ เย้ !!
จากนั้นเราก็ออกเดินทางจากเมืองสุราษฏร์ธานี มุ่งหน้าไปยัง อุทยานแห่งชาติเขาสก
ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมงโดยรถเก๋งของเพื่อน นำทางโดย GoogleMap.
ระหว่างทางก็มีฝนโปรยปรายลงมาพอให้ชุ่มฉ่ำ ให้ความรู้สึกว่า นี่แหละ .. ภาคใต้ไทยแลนด์ !
บ่อยครั้งที่ความสวยงามก็ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางเสมอไป
หมอกสีขาวบางเบาหลังฝนตก ตัดกับสีเขียวของต้นไม้บนภูเขาเป็นอย่างดี
ถึงแล้วครับ … อุทยานแห่งชาติเขาสก จ.สุราษฏร์ธานี
ต้นไม้สีเขียวสุดลูกหูลูกตา ภูเขาหินปูนที่อยู่ไกลๆ เมฆฝนครึ้มๆตามสไตล์ภาคใต้ นี่แหละ !!
มาถึงแล้ว เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือ เขื่อนรัชชประภา หรือ อุทยานแห่งชาติเขาสก มันคือที่เดียวกันนะครับ : )
ถึงนี่ก็ประมาณ 4 โมงเย็น ที่จุดชมวิวของสันเขื่อนจะมีร้านอาหารตามสั่ง ไก่ทอด และมินิมาร์ทให้เราได้รองท้องกันก่อนจะนั่งเรือไปอีกหนึ่งชั่วโมง เราสามารถสอบถามราคาเรือหางยาวจากร้านอาหารตามสั่งนี่แหละ เป็นการเช็คราคาเบื้องต้น.
จากสันเขื่อน เราก็ขับรถลงมาที่ท่าเรือของอุทยานเพื่อขึ้นเรือหางยาวไปยังแพรีสอร์ท ซึ่งอยู่ใจกลางเขื่อนเชี่ยวหลานกันครับ สำหรับคนที่ขับรถส่วนตัวมาก็เอารถมาจอดตรงนี้แหละ (80 บาทมั้ง) นอกจากนี้ก็ต้องเสียค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท (มั้งนะ ไม่แน่ใจ..)
จากนั้นก็จะมีเจ้าของวินเรือหางยาวเข้ามาคุยกับเราเอง ว่าจะไปนอนแพไหน ถ้าเราไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลานแบบเช้า-เย็นกลับค่าเหมาเรือก็จะถูกกว่า แต่เราไปนอนค้าง 1 คืน คนขับเรือก็จะไปค้างที่แพกับเราด้วย แล้วพาเราเที่ยวรอบๆเขื่อนเชี่ยวหลานในตอนเช้าแทน ราคาเหมาลำจะอยู่ที่ประมาณ 2500 – 3000 บาท แล้วแต่ความไกลของแต่ละแพ ซึ่งคืนนี้เราจะไปนอนที่ … แพไกรสร !!
หลังจากตกลงราคาเรือเรียบร้อย ก็ต้องรอเรือมารับอีกประมาณ 15 นาทีได้ …
ส่วนขนมและเครื่องดื่มต่างๆ เราควรซื้อเตรียมไว้และขนขึ้นเรือเต็มที่เท่าที่จะแบกไหวครับ
เพราะที่แพจะไม่มีขายมากนัก นอกจากบริการอาหารในแต่ละมื้อเท่านั้น แต่น้ำแข็งมีขายนะเออ !!
ถ่ายรูปอยู่ที่ท่าเรือเพลินๆได้สักพัก เรือก็มาแล้ววว !!!
เสียงเครื่องยนต์เรือหางยาวดังขึ้น แต่ก แต่กๆๆ จากนั้นเราก็ลอยล่องไป …. ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
กระแสลมสาดกระทบใบหน้าตามความเร็วของเรือหางยาว นี่มันเครื่องนวดหน้าดีดีนี่เอง
ภาพของภูเขาหินปูนค่อยๆปรากฏให้เห็นทีละ สอง-สามสี่ห้าลูก จนเต็มไปหมด
ลวดลายสีของหินปูน ดูไปก็คล้ายกับภาพวาดของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์
น้ำสีเขียวอื้อทำให้สงสัยว่า มันเขียวเพราะสาหร่ายใต้น้ำหรือแร่ธาตุบางอย่างกันแน่
มุมนี้ คือ ต้นไม้เต็มไปหมด ดูแล้วสดชื่นมากเลย …
นี่อาจจะเป็นก๊อดซิล่ากำลังว่ายน้ำ …. เพ้อเจ้อ 55555
หลังจากนั่งเรือหางยาวให้ลมตีหน้ามาหนึ่งชั่วโมงเต็ม
เราก็มาถึง ‘แพไกรสร’ ซึ่ง เป็นแพที่ดูแลโดยอุทยานแห่งชาติเขาสก
ข้อดี คือ ค่าที่พักซึ่งถูกมาก คืนละ 800 บาทต่อคน รวมค่าอาหารเติมไม่อั้น 3 มื้อ
ซึ่งถ้ามื้อไหนเราไม่กิน หรือ มาไม่ทันเขาก็จะหักค่าอาหารออกให้เรา
เช่น เราไม่ได้กินมื้อเที่ยง เพราะมาถึงก็ 6 โมงเย็นแล้ว เขาก็จะคิดแค่คนละ 600 บาท
ส่วนห้องพักก็เป็นแพไม้ไผ่หลังละ 3 คน ไม่มีพัดลม มีแต่ลมธรรมชาติ
ห้องน้ำรวมต้องเดินขึ้นไปบนฝั่งไม่ไกลนัก มีเรือแคนนูให้พายเล่น และเสื้อชูชีพให้ยืม
มาถึงแพ เราแค่ก็บอกป้าเจ้าของแพว่า เราต้องการจะกินข้าวเย็นกี่โมง จากนั้นเขาก็จะจัดเตรียมไว้ให้
อย่างที่บอกคือ เติมไม่อั้นจริงๆ ยกเว้น ปลาแรดทอดกระเทียม ส่วนที่เหลือก็เติมกันไปประมาณ 4 รอบ ^^
มีคุณลุงคอยบริการเติมอาหารให้ตลอด แต่พอรอบที่ 3 แกเริ่มไม่เดินมาหาแล้ว ฮ่าาา
ส่วนเรื่องอาบน้ำ ? หลังจากป้าเจ้าของแพบอกว่า น้ำในห้องน้ำก็สูบมาจากที่พวกหนูโดดน้ำเล่นกันนี่แหละ
เลยเกิดคำถามขึ้นว่า แล้วเราจะอาบน้ำกันอีกรอบทำไม !?! สรุปว่าวันนั้นแทบไม่มีใครอาบน้ำเลย ฮ่าา
หลังจากกินข้าวเย็นกันแล้ว ก็เอาขนมที่ขนมานั่งกินกัน
นั่งคุยเรื่อยเปื่อย บรรเลงเพลงด้วยกีตาร์โปร่งหนึ่งตัว
ไม่มี 3G ให้อัพเดทเฟสบุ๊ค หรือ แม้แต่จะเสิร์ชหาคอร์ดกีตาร์ มีแค่คอร์ดเพลงที่อยู่ในหัวเท่านั้นที่ใช้ได้
หลังเที่ยงคืน เขาจะปิดเครื่องปั่นไฟ ทุกอย่างจะมืดสนิท ไม่มีเสียงรบกวนใดใด เพราะ ทุกคนนอนหมดแล้ว
ก็ได้เวลามานั่งเสพย์บรรยากาศ เอาขาจุ่มน้ำท่ามกลางความมืด
คอยนั่งลุ้นว่าเมื่อไรท้องฟ้าจะเปิดให้เห็นดาว มีหิ่งห้อยตัวน้อยๆบินผ่านไปมา …
และนี่คือ ทางช้างเผือกตอนตี 3 … รูปไม่ค่อยชัดเลย เนื่องจาก ถ่ายไม่เป็น ประกอบกับท้องฟ้ามีเมฆมาก : )
เช้าวันนี้ ไม่มีเสียงนาฬิกาปลุก ไม่มีใครโทรตามทั้งนั้น เพราะ ไม่มีสัญญาณ ^^
มีเพียงเสียงนักท่องเที่ยวร่วมแพ ที่ตื่นกันแต่เช้าตรู่มากินข้าว บางกรุ๊ปก็ออกเดินทางกันแต่เช้า
เราตื่นมากินข้าวต้มตอนเช้า
พลางฝากเพื่อนไปถามคนขับเรือว่า เราควรออกจากที่นี่กี่โมง
ซึ่งคนขับเรือบอกว่า ‘ แล้วแต่พี่เลย ผมสบายๆ ‘
โอเค !! งั้นกลับไปนอนต่อนะ ฮ่าาาา
หลังจากนอนตอนสายจนเบื่อแล้ว ฝนตกปรอยๆ บรรยากาศอึมครึ้ม ประกอบกับพลังของเตียงดูดวิญญาณ
ทำให้เราได้ฤกษ์ออกเดินทางกันตอน 11 โมง สบายๆ ไม่ต้องรีบร้อน ^^
คนขับเรือพาเราเที่ยวรอบๆเขื่อนเชี่ยวหลาน ดูภูเขา ต้นไม้กันไปเรื่อยๆ
และนี่ก็คือ ” เขาสามเกลอ ” … น่าจะเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่เลย แต่ทำไมนับได้ 4 – 5 เกลอ = =
ระหว่างการพาทัวร์คนขับเรือก็จอดให้เราถ่ายรูปเป็นช่วงๆ
บางคนก็โดดลงไปเล่นน้ำท่ามกลางหุบเขาหินปูน
บางคนก็เซลฟี่เพลินๆ พลางโบกมือทักทายฝรั่งเรือลำอื่น
แต่ คือ … น้ำ มันนิ่งเกิ้นนน เหมือนมีตัวอะไรคอยซุ่มดูเราอยู่ใต้น้ำ ขอยืนอยู่บนเรือเพลินๆดีกว่า
หลังจากเที่ยวรอบๆจนครบ ก็มุ่งหน้ากลับขึ้นฝั่งที่ท่าเรืออุทยาน ใช้เวลาอีกประมาณ 40 นาที
เนื่องจากเมื่อเช้านอนจนเหนื่อย ตอนนี้เลยขอนอนพักบนเรือท่ามกลางลมเย็นๆอีกสักรอบแล้วกัน : )
และนี่ คือ สมาชิกเพื่อนร่วมทริปของผม ^^
ส่วนขากลับ เราก็เดินทางออกจากอุทยานแห่งชาติเขาสกโดยรถของเพื่อน เหมือนเดิม
มุ่งหน้าไปหาของกินที่ตัวเมืองสุราษฎร์ธานี แล้วไปขึ้นเครื่องบินรอบ 21:00 ที่สนามบินสุราษฏร์
ถึงกรุงเทพฯ เวลา 22:10 ด้วยตั๋วราคา 1045 บาท (ถ้าจองล่วงหน้า 3 อาทิตย์จะได้ราคา 645 บาท)
ยังไม่จบสักทีเดียว …
ความพีคช่วงสุดท้ายอยู่ที่การเช็คอินขึ้นเครื่อง หลังจากเดินถนนคนเดินสุราษฎร์เพลินๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เฮ้ยย ควรรีบไปสนามบินกันแล้วปะ ในอีเมล์เขาว่า Last check-in คือ ก่อนเครื่องออก 45 นาที แต่เราไปถึงก่อนเครื่องออกแค่ 30 นาที โชคดีที่เขาให้ขึ้นเครื่องได้ ฮ่าาาา …
จบ | ทริปเขี่ยวหลาน | แก๊งกนร.51
ขอขอบคุณ
คุณแน้ม ที่กรุณาเป็นภาระมาขับรถให้ ทำให้เราไม่ต้องไปเช่ารถเข้าอุทยานราคาแพง และ อื่นๆอีกมาก
Leave a comment